Saturday, August 23, 2014

Merit Meditation



นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น 

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ  - ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก 



การทำสมาธิ ผู้ปฏิบัติจิตนี้สงบไหม ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ
อันปิตินี้เป็นปิติที่มีโลภะ อยู่ด้วยหรือไม่
ให้ผู้ปฏิบัติพึงสังเกตุตนเอง

ก่อนที่จะเจริญสมาธิ
ผู้เจริญสมาธิประจักษ์ระลึกรู้อยู่ว่า จิตขณะนั้น ต้องเจริญสมาธิที่จิตที่เป็นกุศล จิตขณะนั้นมีปฏิฆะอยู่หรือไม่
โยนิโสมนัสสิการด้วยสติเจตสิก เพื่อ
1. เนกขัมมะโลภะ  โทสะ โมหะ เป็นอันดับแรก และก็เจริญสมาธิต่อไป  
2. และระหว่างการเจริญสมาธิของผู้ปฏิบัตินั้นประกอบโลภะและหรือมีโมหะอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้ามีก็ให้เนกขัมมะ โลภะ  โทสะ โมหะ
3. เจริญมรณสติ พิจารณาความตาย 
"เรามีความตายเป็นธรรมดา"
"เรามีความตายเป็นแน่แท้"
4. ระหว่างเจริญสมาธิ ให้ระลึกตัวอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เราบังคับบัญชาร่างกายนี้ไม่ได้ มันต้องเจ็บป่วย ตาย 


อัปปมัญญา(อารมณ์กรรมฐาน)

อัปปมัญญา หมายความว่า ธรรมชาติที่เป็นไปในสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ไม่จำกัด
ผู้ที่ เจริญอัปปมัญญา ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นั้น จะต้องมีการแผ่ตลอดทั่วไปในสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีจำกัดจึงจะเรียกว่า เป็นการแผ่เมตตาอัปปมัญญา กรุณาอัปปมัญญา มุทิตาอัปปมัญญา อุเบกขาอัปปมัญญา สำหรับการแผ่โดยเฉพาะเจาะจง ไม่จัดว่าเป็นการเจริญอัปปมัญญากรรมฐาน ฉะนั้นเมื่อจะเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ชนิดที่เป็นอัปปมัญญาได้นั้น ต้องเป็นชนิดทำลายขอบเขตไม่ให้มีจำกัดอยู่เฉพาะแต่ใน บุคคลประเภทใดประเภทหนึ่ง

อัปปมัญญา ก็ได้ชื่อว่าพรหมวิหารด้วย เพราะว่า ผู้ที่ปฏิบัติในอัปปมัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง บุคคล นั้นย่อมมีจิตเสมือนพรหม
คือมีความดีในเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ได้อย่างไม่มีประมาณ
เมตตา หมายความว่า การปรารถนาดีรักใคร่ต่อสัตว์ทั้งหลาย องค์ธรรมได้แก่ อโทสเจตสิก ที่มี ปิยมนาปสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์
หมายถึงมีสัตว์บุคคลอันเป็นที่รักเป็นอารมณ์ สัตว์บุคคลอันเป็นที่รักที่ ชอบใจ มี ๒ พวก คือ
๑. พวกธรรมดา เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง เป็นต้น
๒. พวกที่เป็นไปด้วยอานาจภาวนาสมาธิ
การเจริญเมตตาในระยะต้นๆ จะมีเฉพาะในพวกธรรมดาเป็นอารมณ์ของเมตตาภาวนาก็จริง ครั้น การเจริญนั้นได้เข้าถึงขั้นอุปจารภาวนาแล้ว  จิตใจในขณะนั้นก็จะแผ่ทั่วไปแก่สัตว์ทั้งหลายได้หมด แม้แต่ผู้ที่ เป็นศัตรูก็สามารถแผ่จนกลายเป็นบุคคลที่เรารักได้ จิตใจในขณะนั้นปราศจากอโทสะ
โดยสิ้นเชิง ไม่ได้แกล้ง หรือฝืนใจคิดที่จะรักใคร่ปรารถนาดีต่อศัตรู แต่อโทสเจตสิกที่เกิดขึ้นในขณะสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นต้น ไม่ได้มีอารมณ์เป็น
ปิยมนาปสัตวบัญญัต ดังนั้น อโทสเจตสิกขณะนั้นจึงไม่เรียกว่า เมตตา

การนึกถึงหรือมองดูคนอื่นด้วยโทสะ ความโกรธ ความขัดเคือง ความอิจฉา ริษยา ในขณะนั้นย่อมม แต่ความเกลียดชัง จิตใจไม่ชื่นบาน
ส่วนการนึกถึงหรือมองดูบุคคลอื่นด้วยเมตตานั้น จิตใจก็จะมีแต่ความ รักใคร่เบิกบาน
ความรักใคร่มี ๒ ประการ คือ ๑. เมตตาอโทสะ ๒. ตัณหาเปมะ

เมตตาอโทสะ เป็นความรักใคร่ชื่นชมปรารถนาดีชนิดไม่มีการยึดถือว่าเป็น บิดา มารดา บุตร ธิดา ภรรยา สาม ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง แต่อย่างใด
ถึงบุคคลเหล่านี้จะจากไปก็ไม่เดือดร้อน ไม่เสียใจ

ตัณหาเปมะ เป็นความรักใคร่ชื่นชมด้วยการยึดถือว่าเป็น บิดา มารดา บุตร ธิดา ภรรยา สาม ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง และแยกจากกันไม่ได้
ถ้าบุคคลเหล่านั้นจากไปก็หวงแหน อยากจะครอบครองรักษาไว้ไม่ให้ จากไป ดังนั้นความรักใคร่ชื่นชมชนิดที่เป็นตัณหาเปมะนี้
จึงได้ชื่อว่าเป็นเมตตาเทียม องค์ธรรม ได้แก่ โลภเจตสิก
อย่างไรก็ตามตัณหาเปมะอันเป็นเมตตาเทียมนี้ ก็ยังเป็นความดีในการที่เป็นเหตุปัจจัยให้เมตตาอโทสะเกิดขึ้นได้ง่าย และดารงมั่นไม่เสื่อมคลาย

วิธีการปฏิบัติเมตตาอัปปมัญญา ในเบื้องต้นต้องตัดปลิโพธ คือ เครื่องกังวล ๑๐ ประการ เลือก
สิ่งสัปปายะ หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอสัปปายะ แล้วเริ่มต้นโดยการพิจารณาโทษของความโกรธและอานิสงส์ ของความอดกลั้นต่อความโกรธก่อนเป็นลำดับแรก

ที่มา : บทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ (สมถกรรมฐาน)



No comments:

Post a Comment